Share
Any fool can know. The point is to understand― Albert Einstein
วันเสาร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2558
วันอาทิตย์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2558
Quotes About Life
- “You've gotta dance like there's nobody watching,Love like you'll never be hurt,Sing like there's nobody listening,And live like it's heaven on earth.” ― William W. Purkey
- “Don't cry because it's over, smile because it happened.” ― Dr. Seuss
อ้วน!
อ้วน!
- ระดับความ อ้วน!
ถ้าอ้วนแบบน้ำหนักเกินนิดๆ ก็คือ - Overweight.
อ้วนเข้ามาอีกหน่อยก็เข้าเกณฑ์ - Fat
อ้วนเอาแบบตุ๊ต๊ะ ก็กลายเป็น - Obese
ถ้าคำนามของคำว่า "โรคอ้วน" ก็คือ Obesity
คำว่า Fat ass เป็นคำด่าว่า อ้วน!
- คำแสลงใช้จริง
Chubby - เจ้าตุ้ยนุ้ย, จ้ำม่ำ
Fluffy - อ้วนระดับเลเวล 4 เต็ม 5 (จริงๆหมายถึงขนปุกปุย)
Tubby - อ้วนขั้นกลมดิ๊ก (เวลาเดินเป็นห่วงอยู่ว่าพุงมันจะโน้มน้ำหนักให้หน้าคมำแล้วกลิ้ง หลุน หลุน )
Lard - อ้วนแต่ไม่คิดว่าตัวเองอ้วน
Plumper - จะระบุเพศหญิงอ้วน ความหมายของPlump - อวบอึ่ม
Stout - หมายถึงผู้ชายวัยกลางคนที่เตี้ยและอ้วน
Dumpy - ใช้กับเด็กหรือผู้หญิงที่รูปร่างอ้วนเตี้ย
Avril Lavigne - I can do better
Artist: Avril Lavigne
Title: I Can Do Better
I couldn't give a damn what you say to me
ฉันไม่สนใจว่าเธอจะพูดอะไรกับฉัน
I don't really care what you think of me
ไม่เห็นจะแคร์ว่าเธอคิดยังไง
Cause either way you're gonna think what you believe
เพราะยังไงๆ เธอก็ยังคิดในสิ่งที่เธอเชื่อ
There's nothing you could say that would hurt me
ไม่มีคำไหนที่เธอจะมาทำร้ายฉันได้หรอก
I'm better off without you anyway
ฉันดีขึ้นแน่ๆ ถ้าไม่มีเธอ
I thought it would be hard but I'm OK
ฉันเคยนึกว่ามันยาก แต่ฉันโอเค
I don't need you if you're gonna be that way
ฉันไม่คิดต้องการคเธอ ถ้าเธอยังจะเป็นแบบนั้น
Cause with me it's all or nothing
ก็เพราะกับฉันแล้ว มันจะเป็นทั้งหมดหรือไม่มีอะไรเลยก็ได้
I'm sick of this shit, don't deny
ฉันเบื่อไอ้เรื่องแบบนี้แล้ว อย่าปฏิเสธเลย
You're a waste of time
เธอเป็นตัวทำให้ฉันเสียเวลา
I'm sick of this shit, don't ask why
ฉันเบื่อแล้วกับไอ้คำโกหกพวกนั้น อย่าถามเลยว่าทำไม...
[Chorus]
I hate you now
ก็ตอนนี้ฉันเกลียดคุณน่ะสิ!!
So go away from me
ไปไกลๆได้มั้ยเนี่ย
You're gone, so long
ไปเลย...บ๊ายบาย
I can do better, I can do better
ฉันน่ะดีขึ้นได้แน่นอน
Hey, hey you
นี่ๆ
I found myself again
ฉันน่ะเจอความเป็นตัวเองแล้วนะ
That's why you're gone
นั่นเป็นสาเหตุที่เธอควรไป
I can do better, I can do better
ฉันน่ะสามารถ...สามารถดีขึ้นได้ไงล่ะ
You're so full of it
โอ้ยย มันชักจะมากเกินไปแล้วนะ
I cant stand the way you act
ฉันทนไม่ได้ กับการกระทำของเธอ
I just cant comprehend
ฉันไม่เข้าใจเธอเลย
I don't think that you can handle it
ฉันว่าเธอรับมันไม่ได้หรอก
I'm way over, over it
ฉันว่าขอให้มันจบๆซะที...
I will drink as much lemon cello as I can
ฉันจะดื่มมากเท่าไรก็ได้ตามแต่ใจที่ฉันอยาก
And Ill do again and again
และฉันก็จะทำมันอีกครั้ง...
I don't really care what you have to say
ฉันไม่แคร์หรอกว่าคุณจะพูดอะไร
Cu's you know, you know you're nothing
ก็น่ะนะ...คุณก็รู้ คุณน่ะไม่มีอะไรเลย
สำนวน
give a damn = ความหมายเดียวกับคำว่า แคร์, สนใจ แต่เป็นอะไรที่หยาบกว่า care of
either way = ไม่ว่ายังไง
better off = ดีขึ้น
sick of (something) = เบื่อ รำคาญกับอะไรบางอย่าง
waste of time = เสียเวลา, เปล่าประโยชน์
So long! = ก็คือการกล่าวลาอีกแบบนึง
stand the way you act = คำว่า stand คำนี้ไม่ได้แปลว่า ยืน แต่แปลว่าทนกับเรื่องอะไรบางอย่าง ในประโยคนี้ I can't stand the way you act ก็คือ ฉันทนกับการกระทำเธอไม่ได้แล้ว
I'm way over = ไม่ได้ต่างจาก I'm over ฉันพอแล้ว จบแล้ว แต่การใส่ way เข้ามาเพิ่มเป็นการบอกว่าจบนานแล้ว เบื่อมากแล้ว
Lemoncello = ไม่ใช่สำนวน แต่ความจริงเป็นชื่อของ เหล้าประเภทนึง ทำจากมะนาว
6 Thinking Hats
Six Thinking Hats (หมวก 6 ใบ คิด 6 แบบ)
พัฒนาโดย Edward de bono เป็นวิธีที่ช่วยให้การคิดเป็นกลุ่มมีประสิทธิภาพมากขึ้น
Concept
เป็นการจัดความคิดของทุกคนในกลุ่มให้คิดไปในแนวทางเดียวกันในเวลาเดียวกัน เรียกว่าการคิดแบบขนาน (Parallel Thinking) เพื่อป้องกันการขัดแย้งทางความคิดซึ่งกันและกัน และลดทิฐฏิในความคิดของตนเอง จากนั้นค่อยสั่งให้เปลี่ยนแนวคิดไปอีกแนวหนึ่งพร้อมๆกัน โดยควรที่จะวนจนคิดครบทุกมุมมองเพื่อให้ได้พิจารณาในทุกแง่มุม
เหมาะกับสถานการณ์ที่ต้องการจะพิจารณาไอเดียซักอันหนึ่งให้ครบทุกมิติ เพื่อให้เกิดแนวคิดที่ดีที่สุด และที่สำคัญยังใช้ทำให้การประชุมเป็นกลุ่มมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ทฤษฎีนี้ให้แต่ละมุมมองทางความคิดแทนด้วยหมวกแต่ละสี โดยมีหมวกทั้งหมด 6 สีดังนี้
หมวกขาว – ข้อมูล ข้อเท็จจริง (สีขาว เปรียบกับความบริสุทธิ์ ไม่มีอารมณ์เจือปน)
เป็นการคิดโดยยึดจากข้อมูล หรือข้อเท็จจริงเป็นหลัก ไม่ใส่ความคิดเห็นส่วนตัวลงไป อาจจะคิดว่าตอนนี้ยังขาดข้อมูลอะไรอยู่ก็ได้
หมวกแดง – อารมณ์ (สีแดง แสดงถึงอารมณ์อันรุนแรง)
เป็นการคิดที่ยึดอารมณ์เป็นหลัก ใช้สัญชาติญาณ โดยที่คุณไม่จำเป็นต้องอธิบายถึงเหตุผลก็ยังได้ว่าทำไมคุณถึงรู้สึกแบบนั้น ในที่นี้อาจรวมไปถึงการคิดถึงอารมณ์ของคู่แข่งขัน หรือลูกค้าด้วยก็ได้
หมวกดำ – มองแง่ร้าย, ระวัง (สีดำคือความมืดมน)
เป็นการคิดอย่างระมัดระวัง คือคิดในแง่ร้ายไว้ก่อน เป็นหมวกที่มีประโยชน์ในการที่จะช่วยให้เห็นความเสี่ยงหรือผลเสียที่อาจจะเกิดขึ้นได้
หมวกเหลือง – คิดบวก (สีเหลืองเหมือนความสว่างไสวของแสงอาทิตย์)
เป็นการคิดแบบมองโลกในแง่ดี ซึ่งจะช่วยให้เราเห็นประโยชน์ทั้งหมดที่อาจจะเกิดขึ้นจากไอเดียที่คิดออกมาได้
หมวกเขียว – สร้างสรรค์ (สีเขียวแสดงถึงความสดใส และการเจริญเติบโต)
เป็นหมวกของความคิดสร้างสรรค์ ใครมีเทคนิคสร้างสรรค์อะไร หรือจะบ้าบอแค่ไหนก็คิดในช่วงนี้ได้เลย (ดู list เทคนิคความคิดสร้างสรรค์ในบทความที่ผ่านมาได้เลย )
หมวกฟ้า – ภาพรวม,ควบคุม (สีฟ้าเปรียบเสมือนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ที่ปกคลุมอยู่เบื้องบน)
เป็นหมวกที่ใช้ในการควบคุมภาพรวมในการคิดทั้งหมด มักให้หัวหน้ากลุ่มใส่ เพื่อควบคุมว่าตอนนี้ทุกคนในทีมควรใช้หมวกอะไรคิด และต่อไปจะใช้หมวกอะไรต่อดี และที่สำคัญ
- ตอนเริ่มประชุม ควรบอกถึงวัตถุประสงค์การประชุมและวิธีการประชุม
- ตอนจบประชุม ควรสรุปว่าได้คุยอะไรไป ได้ผลอย่างไร และแผนต่อไปคืออะไร
6 Thinking Hats ดียังไง?
การใช้หมวกแทนโหมดการคิดมีข้อดีตรงที่ “หมวกแต่ละสีเป็นคำกลางๆ” สามารถใช้บอกให้คนอื่นเปลี่ยนโหมดได้โดยไม่ต้องรู้สึกเขินอายหรือเสียหน้ามากนัก เช่น ผมอยากให้คุณถอดหมวกดำออก… เรามาลองใส่หมวกเหลืองกันซัก 2-3 นาทีมั๊ย?
การคิดแต่ละหมวก เป็นการ Focus ทีละเรื่อง สมองจะไม่เกิดความสับสนในการทำงาน ทำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
Sequence การใช้หมวก
Ex.- เริ่มด้วยหมวกฟ้า (บอกวัตถุประสงค์)
- หมวกขาว (ดูข้อมูล)
- อันนี้มีให้เลือก 2 แนว หรือจะใช้ทั้งคู่ก็ได้
- หมวกเหลือง (ข้อดี) => หมวกดำ (ข้อควรระวัง) => หมวกเขียว (พยายามหาทางแก้ข้อควรระวังให้ได้)
- หมวกเขียว (ดูแนวทางสร้างสรรค์) => หมวกเหลือง (ข้อดี) และ หมวกดำ (ข้อควรระวัง) สำหรับแต่ละแนวทางที่คิดออกมาได้
- หมวกแดง (ดูความรู้สึกกันอีกที)
- จบด้วยหมวกฟ้า (สรุปผล)
สิ่งที่ไม่ควรทำ
ไม่ควรกำหนดคนร่วมประชุมแต่ละคนใส่หมวดคนละสีแบบตายตัว (เช่น นาย A เอาหมวกดำ, นาย B เอาหมวกขาว) เราควรให้ทุกคนใส่หมวกสีเดียวกันในเวลาเดียวกันมากกว่า

สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)

